avengers: age of ultron

avengers: age of ultron เดินทางมาถึงภาคสองแล้วนะครับสำหรับภาพยนตร์รวมฮีโร่อย่าง ดิ อเวนเจอร์ ที่คราวนี้บอกได้เลยว่ามีเนื้อเรื่องและความมันส์แบบจัดเต็มเหมือนเดิม และพาคนดูไปพบกับพล็อตเรื่องใหม่ ๆ

สืบเนื่องมาจาก The Avangers ภาคแรก และอ้างอิง Captain America : The Winter Soldier ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับองค์กรไฮดร้า โดยกัปตันอเมริกา(Chris Evans) ได้เข้าไปบุกทลายและจับกุมนายพลสตรักเกอร์ ซึ่งกำลังทดลองบางอย่างโดยใช้พลังจากคฑาของโลกิ น้องชายของธอร์ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝัน คือโทนี่ (Robert Downey Jr.) สตาร์ค ถูกควบคุมจิตใจจาก แวนด้า (Elizabeth Olsen) ทำให้โทนี่เกิดอาการหวาดกลัว จึงสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อปกป้องโลก แต่พลังของMind Stone จากคฑาโลกิ มีพลังมากเกินที่จะควบคุมไหว สิ่งที่โทนี่พยายามสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องโลก กลับกลายมาเป็นมหันตภัยร้ายที่กำลังจะมาเป็นภัยต่อโลกและยากเกินควบคุม

เริ่มต้นที่คำวิจารณ์ของภาคนี้ไม่เปรี้ยงปร้างเท่าภาคแรก แต่ผมก็ยังคงเป็นแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นในภาพยนตร์ชุดนี้ ถ้าถามว่าทำไมภาคนี้มันไม่ว้าวเท่าภาคแรก ภาคแรกถือเป็นปฐมบทของการรวมเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ มันเลยไม่แปลกเท่าไหร่ที่ภาค 2 มันจะไม่ว้าวเท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่สนุก แต่อะไรที่เป็นจุดเริ่มต้นมักจะน่าสนใจกว่า แต่ถ้ามามองถึงข้อมูลเชิงลึกของภาพยนตร์เรื่องนี้จริง ๆ ถือว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกนะครับ สิ่งนั้นคือหนังให้ความสำคัญกับตัวละครซูเปอร์ฮีโร่มากกว่าเดิม ลงลึกถึงรายละเอียดที่สำคัญ

และในภาคนี้ มีตัวละครใหม่ ๆ มาเพิ่มครับ เช่น ตัวร้ายอย่าง อัลทรอน หุ่นของโทนี่ที่สร้างด้วยความผิดพลาดและควบคุมไม่อยู่ , ฝาแฝดแมซิมอฟฟ์ เป็นคู่แฝดที่มีพลังพิเศษจากการทดลอง , วิชั่น กำเนิดใหม่ด้วยพลังของMind Stone

ถ้าพูดถึงเรื่องราวภูมิหลังของของเหล่าสมาชิกอเวนเจอร์ ให้คนดูได้รู้จักมากกว่าเดิม แต่ไม่ต้องห่วงครับ ไม่ใช่ความหลังเชิงดาร์กที่จะสร้างความอึดอัดใจให้กับคนดู แถมมีมุกตลกปนให้เป็นบางช่วง หยอดให้ตลอดไม่ต้องกลัวเบื่อ และจุดเด่นของอเวนเจอร์ภาคนี้คือตัวร้าย ที่ร้ายจริง ๆ มีความโหด น่ากลัวจริง ๆ ซึ่งแตกต่างกับพี่โลกิ ที่เหมือนร้ายแบบทีเล่นที่จริง ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็น หญิงสาวหนึ่งเดียวของทีม และในภาคนี้ยังมีดราม่าความรักกับเดอะฮัลค์ตัวเขียวด้วยนะเออ ถือว่าหนังเพิ่มซีนรักใคร่เข้าไปในนี้ด้วย เพื่อเพิ่มอรรถรสของหนังให้ครบรสมากยิ่งขึ้น

ในภาคแรกทุกท่านที่ชมอาจจะเห็นนะครับว่า ความวินาศสันตะโรเกิดขึ้นแค่ในเฉพาะสหรัฐฯ แต่ในภาคนี้ถือว่าออนทัวร์กันหลายประเทศเลยครับ เพื่อเพิ่มความหลายหลากในโลเกชั่น แม้ว่าจะไม่ได้มีการระบุอย่างเจาะจงในส่วนประเทศ แต่Background ก็สามารถรู้ได้เลยครับว่าAround the World เลย

ถึงพวกเขาจะไม่ใช่มนุษย์แบบเต็มตัว แต่ตัวละครก็มีอารมณ์เศร้า เสียใจ หวาดกลัวด้วยเช่นกัน เช่นโทนี่ ที่พยายามสร้างหุ่นขึ้นมาเพื่อป้องกันภัยร้ายที่อาจจะมาถึง แต่กลับมีบางคนที่มองว่าพวกเค้าก็มีหน้าที่ปราบผู้ร้าย ถ้าไม่มีผู้ร้าย ก็สร้างมันขึ้นมาซะเอง เหมือนความรู้สึกที่วนอยู่ในอ่าง สร้างสถานการณ์ขึ้นมาไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่าด้อยค่า

คะแนนเนื้อเรื่อง 9/10 การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างกระชับ ไม่มีอืดอาดแบบที่หนังภาคต่อมักจะเป็น หนังอัดแน่นสาระและความมันส์และฉากบู๊อย่างจัดเต็ม หนังพลิกพล็อตให้มาเกิดความสั่นคลอนที่ตัวโทนี่ ผู้ที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าทีมอเวนเจอร์ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ทุกคนก็เหมือนจะโทษโทนี่เล็ก ๆ ที่เป็นสาเหตุของภัยร้ายครั้งนี้

คะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 ฉากการต่อสู้และเอฟเฟคต์ที่อัดแน่นมาตลอด คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่ามีการ insert ประกอบฉากอย่างสวยงาม โดยเฉพาะออร่าพลังขอแวนด้า บอกเลยว่าถึงจะออกมามีบทบาทไม่มาก แต่ก็ทำให้ผมจำเธอไว้ในฐานะ ผู้ร้ายกลับใจอีกคน และหุ่นยนต์ที่เป็นตัวร้ายของภาคนี้ ก็ให้อารมณ์เหมือนผมกำลังดูหนัง Terminator ฉบับMarvel คือเป็นหุ่นที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระ สมจริง

ข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ avengers: age of ultron

  1. avengers: age of ultron ความกลัวเกิดได้กับจิตใจของคนทุกคน แน่นอนครับว่าไม่เว้นแม้แต่ฮีโร่ของเรา โทนี่ เมื่อเขาถูกความกลัวครอบงำจิตใต เขาก็มีความคิดที่จะสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อปกป้องโลก แต่กลับกลายว่าเค้าทำพลาด กลายเป็นเหยื่อไปซะได้
  2. ความสามัคคีคือพลัง แม้ว่าในภาคนี้ พวกเหล่าฮีโร่จะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าใดนัก แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องรวมพลังกัน พวกเค้าก็สามัคคีกันอย่างประหลาด เปรียบเสมือนพวกเค้าที่เดินทางกันคนละแนว แต่ว่ามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการทำให้โลกสงบสุขนั่นเอง

สำหรับคอหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงนะครับ ถ้าใครที่ไม่ได้สนใจสาระ เน้นความมันส์แบบจัดเต็มให้คุ้มค่าเวลาที่มาดู บอกเลยว่าเรื่องนี้ตอบโจทย์คนดูสายบู๊แน่นอนครับ

บทความที่น่าสนใจ